แก้มย้อย คืออะไร? ต้องแก้ไขด้วยวิธีไหน ให้หน้าเรียวสวยเป็นธรรมชาติ
ปัญหาแก้มย้อยหรือปัญหาแก้มหย่อนคล้อย เป็นปัญหาที่สามารถพบได้บ่อยในผู้ที่มีอายุเพิ่มมากขึ้น และสามารถพบได้ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย เพราะว่าปัญหาแก้มย้อยนั้นสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการผลิตคอลลาเจนที่ลดน้อยลง การเผชิญกับมลภาวะ การเสื่อมสภาพของผิวตามช่วงวัย ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต หรือพันธุกรรม เป็นต้น
ในปัจจุบันนั้นมีวิธีที่สามารถช่วยแก้แก้มย้อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยให้หน้าห้อยแก้มย้อยนั้นกลับมาดูกระชับและดูอ่อนเยาว์มากยิ่งขึ้น
บทความนี้จึงจะพาทุกคนไปดูกันว่าหน้าห้อยแก้มย้อยเกิดจากอะไร มีวิธีลดแก้มย้อยอย่างไรบ้าง พร้อมแนะนำวิธีป้องกันปัญหาแก้มย้อยที่ทุกคนสามารถทำตามได้แบบง่ายๆ
แก้มย้อย หน้าห้อย คืออะไร
ปัญหาแก้มย้อยหรือหน้าห้อยแก้มย้อย คือปัญหาของผิวบนใบหน้าบริเวณแก้มที่มีความหย่อนคล้อยมากกว่าปกติหรือแลดูไม่กระชับ ที่สามารถเกิดได้จากหลากหลายสาเหตุ เช่น พันธุกรรม อายุที่เพิ่มมากขึ้น การเผชิญกับแสงแดด หรือไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต ล้วนแต่เป็นปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดริ้วรอยร่องลึก และเห็นได้อย่างชัดเจนในบริเวณแก้มหรือใต้ตา รวมถึงทำให้หน้าดูอ้วน หน้าบาน หรือกรอบหน้าไม่ชัด และเมื่อเกิดปัญหาแก้มย้อยหรือแก้มหย่อนคล้อย ก็จะทำให้ภาพรวมของใบหน้านั้นดูแก่กว่าวัยนั่นเอง
สาเหตุของแก้มย้อย ใบหน้าหย่อนคล้อย
สำหรับปัญหาแก้มย้อยหรือปัญหาหน้าห้อยแก้มย้อยนั้นสามารถเกิดขึ้นได้จากหลากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นอายุที่เพิ่มมากขึ้น ความผิดปกติทางพันธุกรรม รังสียูวีจากแสงอาทิตย์ หรือไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต โดยแต่ละปัจจัยนั้นสามารถส่งผลให้เกิดปัญหาแก้มย้อยได้ ดังนี้
อายุที่เพิ่มมากขึ้น
อายุที่เพิ่มมากขึ้น ถือว่าเป็นปัจจัยหลักที่สามารถส่งผลให้เกิดปัญหาแก้มย้อยที่พบได้มากที่สุด เพราะเมื่อเรามีอายุมากขึ้น ก็จะทำให้การผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินลดลง ส่งผลให้ผิวของเรานั้นค่อยๆ สูญเสียความยืดหยุ่น เมื่อผิวขาดความยืดหยุ่น ก็จะส่งผลให้ผิวของเราดูห้อยย้อย ไม่กระชับ จนส่งผลให้เกิดปัญหาแก้มย้อยหรือผิวหย่อนคล้อยตามมาในที่สุด
ความผิดปกติทางพันธุกรรม
ความผิดปกติทางพันธุกรรม เป็นอีกปัจจัยที่สามารถส่งผลให้เกิดปัญหาแก้มย้อยได้ โดยเกิดจากการได้รับลักษณะทางพันธุกรรมมาเป็นโครงสร้างของใบหน้าที่ไม่สมส่วนหรือมีโครงสร้างของใบหน้าอ่อนแอ ทำให้ผิวบริเวณแก้มนั้นดูห้อยย้อยกว่าปกติหรือดูไม่ค่อยกระชับ จนส่งผลให้เกิดปัญหาแก้มย้อยตามมาจนใบหน้าดูแก่กว่าวัย แต่ว่าปัจจัยนี้มีโอกาสที่จะพบได้น้อยกว่าผู้ที่มีปัญหาแก้มย้อยจากอายุที่เพิ่มมากขึ้น
รังสียูวีจากแสงอาทิตย์
รังสียูวีจากแสงอาทิตย์ เป็นปัจจัยที่สามารถส่งผลให้เกิดปัญหาแก้มย้อยที่ทุกคนมักจะมองข้าม แต่รู้หรือไม่ว่ารังสียูวีจากแสงอาทิตย์นั้นเป็นตัวการทำร้ายผิวที่ทำให้เกิดปัญหาผิวต่างๆ ตามมาอย่างมากมาย รวมถึงปัญหาแก้มย้อยที่เกิดจากการที่รังสียูวีเข้าไปทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินจนเสื่อมสภาพ เมื่อผิวมีคอลลาเจนและอีลาสตินน้อยลง ก็จะทำให้ความยืดหยุ่นและความเต่งตึงหายไป จนส่งผลให้ปัญหาแก้มห้อยหรือแก้มย้อยตามมาได้ง่ายมากขึ้น
ปัจจัยด้านไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต
ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตเป็นอีกปัจจัยที่สามารถส่งผลให้เกิดปัญหาแก้มย้อยหรือผิวหน้าหย่อนคล้อย เพราะว่าทุกการกระทำของเรานั้นสามารถส่งผลต่อร่างกายและผิวได้โดยตรง ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหาร การดื่มน้ำ หรือการนอนหลับพักผ่อน รวมถึงพฤติกรรมต่างๆ เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การรับประทานอาหารรสจัด หรือของหวานมากเกินไป ทั้งหมดล้วนแล้วแต่ส่งผลเสียต่อสุขภาพผิว จึงไปกระตุ้นให้กระบวนการเสื่อมของผิวเร็วขึ้น ทำให้เกิดปัญหาแก้มย้อย ผิวไม่กระชับ หรือภาพรวมของใบหน้าดูแก่กว่าวัยตามมา
ปัญหาแก้มย้อย หน้าห้อย ส่งผลกระทบอะไรบ้าง
สำหรับปัญหาแก้มย้อยนั้นสามารถส่งผลกระทบได้หลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพผิว ภาพรวมของใบหน้า หรือความมั่นใจ โดยผลกระทบที่เกิดจากปัญหาแก้มย้อย มีดังนี้
- ใบหน้าดูแก่กว่าวัย
- ใบหน้าดูไม่สดใส
- ผิวแลดูไม่กระชับ
- เกิดริ้วรอยร่องแก้ม
- เกิดร่องใต้ตา
- กรอบหน้าไม่ชัด
- หน้าดูอ้วน หรือหน้าบาน
- เกิดความไม่มั่นใจในใบหน้า
ใครบ้างที่เหมาะกับการแก้ปัญหาแก้มย้อย
สำหรับผู้ที่กำลังสงสัยว่าตัวเองกำลังมีปัญหาแก้มย้อยหรือหน้าห้อยแก้มย้อย ก็สามารถสังเกตได้ด้วยตัวเอง ว่าเราควรที่จะเข้ารับการแก้แก้มย้อยแล้วหรือยัง โดยลักษณะของผู้ที่เหมาะกับการแก้ปัญหาแก้มย้อย มีดังนี้
- ผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป
- ผู้ที่มีผิวบริเวณแก้มไม่กระชับ
- ผู้ที่มีปัญหาผิวบริเวณแก้มหย่อนคล้อยอย่างชัดเจน
- ผู้ที่มีริ้วรอยบริเวณแก้มเป็นร่องลึก หรือเห็นร่องแก้มชัด
- ผู้ที่มีกรอบหน้าไม่ชัด หรือแก้มเยอะจนหน้าดูอ้วน
- ผู้ที่รู้สึกไม่มั่นใจในรูปหน้าของตัวเอง
วิธีแก้ไขปัญหาแก้มย้อย หน้าห้อย
วิธีการแก้ปัญหาแก้มย้อยนั้นมีทั้งแบบไม่ผ่าตัดศัลยกรรมและแบบผ่าตัดศัลยกรรม โดยผู้ที่มีปัญหาแก้มย้อยนั้นจะต้องใช้วิธีลดแก้มย้อยแบบไหนนั้นขึ้นอยู่กับระดับของปัญหา รวมถึงดุลยพินิจของแพทย์ ซึ่งวิธีที่ใช้ในการแก้ปัญหาแก้มย้อยที่นิยมใช้กัน มีดังนี้
การฉีดโบท็อกซ์
การฉีดโบท็อกซ์ เป็นวิธีแก้แก้มย้อยที่ทำการฉีดโบท็อกซ์ลิฟต์กรอบหน้า ที่จะทำการฉีดโบท็อกซ์เข้าไปในบริเวณบริเวณกรอบหน้า หรือไล่ตั้งแต่ช่วงบริเวณหน้าหูไล่ลงมาบริเวณสันกรามไปจนถึงใต้คาง เพื่อให้ตัวยาโบท็อกซ์นั้นเข้าไปทำให้ชั้นผิวหนังเกิดการหดตัว ผิวจึงดูกระชับมากขึ้น เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาแก้มย้อยเล็กน้อยไปจนถึงปานกลาง โดยการฉีดโบท็อกซ์นั้นมีข้อดี-ข้อเสีย ดังนี้
- ข้อดี เห็นผลทันที ไม่ต้องพักฟื้น ไม่ต้องผ่าตัด อยู่ได้นานมากถึง 6 เดือน และค่าใช้จ่ายไม่สูง
- ข้อเสีย จะต้องกลับมาเติมทุกๆ 6 เดือน เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ต่อเนื่องและป้องกันการดื้อโบท็อกซ์
การฉีดฟิลเลอร์
การฉีดฟิลเลอร์แก้มย้อย เป็นวิธีการลดแก้มย้อยที่จะทำการฉีดฟิลเลอร์หรือสารไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid) เข้าไปในบริเวณที่มีปัญหาแก้มย้อย เพื่อเติมเต็มผิวที่มีริ้วรอยหรือร่องลึก เช่น ร่องแก้มหรือใต้ตา ที่ส่งผลให้ผิวกระชับ มีความอิ่มและเต่งตึงมากขึ้น เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาแก้มย้อยในระดับเล็กน้อยไปจนถึงปานกลาง โดยการฉีดฟิลเลอร์นั้นมีข้อดี-ข้อเสีย ดังนี้
- ข้อดี เห็นผลลัพธ์หลังทำทันที ไม่ต้องพักฟื้น อยู่ได้นานมากถึง 6-12 เดือน และมีค่าใช้จ่ายไม่สูง
- ข้อเสีย จะต้องกลับมาเติมหลังจากที่ฟิลเลอร์สลาย เพื่อช่วยคงผลลัพธ์การรักษาให้อยู่อย่างต่อเนื่อง
การฉีดเมโสแฟต
การฉีดเมโสแฟต เป็นวิธีการแก้แก้มย้อยที่หลายๆ คนนิยมเช่นกัน เพราะว่าการฉีดเมโสแฟตนั้นเป็นการฉีดตัวยาที่มีฤทธิ์ในการช่วยสลายไขมัน เมื่อตัวยาออกฤทธิ์ก็จะทำให้บริเวณแก้มที่ห้อยย้อยจากการที่มีไขมันเยอะเกินไปนั้นดูกระชับมากขึ้น สามารถกลับมาฉีดอย่างต่อเนื่องได้ หากยังไม่ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ เหมาะกับผู้ที่ต้องการแก้ปัญหาหน้าห้อยแก้มย้อยหรือลดไขมันเฉพาะจุด โดยการฉีดเมโสแฟตนั้นมีข้อดี-ข้อเสีย ดังนี้
- ข้อดี ช่วยลดไขมันได้อย่างตรงจุด สามารถฉีดต่อเนื่องกันได้ ค่าใช้จ่ายไม่สูง และเห็นผลลัพธ์ค่อนข้างชัดเจน
- ข้อเสีย อาจจะต้องฉีดติดต่อกันหลายครั้ง และอาจมีอาการบวมหลังจากฉีด
การร้อยไหม
การร้อยไหม เป็นวิธีการแก้แก้มย้อยที่ไม่ต้องทำการผ่าตัด เพราะว่าการร้อยไหมนั้นจะเป็นการใช้เทคนิคการสอดไหมละลายไว้ที่ใต้ชั้นผิวหนัง เพื่อให้เส้นไหมเข้าไปกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน ช่วยยกกระชับแก้มหรือผิวหน้าที่หย่อนคล้อย ส่งผลให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์มากขึ้น ผิวมีความเต่งตึงและดูอิ่มน้ำมากขึ้น เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาแก้มย้อยในระดับปานกลางไปจนถึงมาก โดยการร้อยไหมนั้นมีข้อดี-ข้อเสีย ดังนี้
- ข้อดี เห็นผลลัพธ์หลังทำทันที ไม่ต้องพักฟื้น ยกผิวให้กระชับได้อย่างตรงจุด และอยู่ได้เป็นระยะเวลานาน
- ข้อเสีย มีโอกาสที่จะเกิดอาการบวม ช้ำ หรือเลือดออกใต้ผิวหนังหลังจากร้อยไหมประมาณ 3-5 วัน
การใช้เทคโนโลยีคลื่นอัลตราซาวนด์
การใช้เทคโนโลยีคลื่นอัลตราซาวด์หรือที่หลายๆ คนรู้จักกันในชื่อของ “Hifu” เป็นวิธีแก้ปัญหาแก้มย้อยที่นิยมในกลุ่มผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวหน้าหรือปรับรูปหน้าโดยที่ไม่ต้องทำการผ่าตัด เพราะการทำไฮฟูนั้นจะเป็นการใช้คลื่นเสียงอัลตราซาวด์ที่สามารถเข้าไปถึงชั้นใต้ผิวหนัง เพื่อให้ชั้นผิวเกิดการหดตัว พร้อมกับช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน ส่งผลให้ผิวดูกระชับมากขึ้น และช่วยให้ผิวดูอ่อนเยาว์มากขึ้น เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาแก้มย้อยตั้งแต่ระดับเล็กน้อยไปจนถึงมาก โดยการใช้เทคโนโลยีคลื่นอัลตราซาวด์นั้นมีข้อดี-ข้อเสีย ดังนี้
- ข้อดี เห็นผลได้ในระยะยาว เพราะสามารถช่วยป้องกันการเกิดปัญหาแก้มย้อย หรือผิวหย่อนคล้อยในอนาคตได้ และสามารถอยู่ได้นานมากถึง 6-8 เดือน
- ข้อเสีย อาจรู้สึกเจ็บในระหว่างการทำหัตถการได้ในผู้ที่มีปัญหาแก้มย้อยบางราย และมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง
การผ่าตัดศัลยกรรมยกกระชับ
การผ่าตัดศัลยกรรมยกกระชับ เป็นวิธีแก้แก้มย้อยแบบผ่าตัด ที่จะต้องทำการผ่าตัด โดยจะมีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดดึงหน้า ผ่าตัดกระพุ้งแก้ม หรือผ่าตัดดูดไขมัน เพื่อทำการยกกระชับผิวให้มีความเต่งตึงมากขึ้น ซึ่งผู้ที่มีปัญหาแก้มย้อยจะต้องใช้วิธีผ่าตัดแบบไหนนั้นขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศลัยแพทย์ เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาแก้มย้อยในระดับมาก หรือไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีแก้แก้มย้อยแบบไม่ผ่าตัด โดยข้อดี-ข้อเสียของการผ่าตัดศัลยกรรมยกกระชับ มีดังนี้
- ข้อดี แก้ไขปัญหาแก้มย้อยได้อย่างตรงจุด สามารถอยู่ได้นานหลายปี หรืออยู่ได้อย่างถาวร
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น